วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ช่างรำ!!!!

หม่อมครูต่วน (ศุภลักษณ์) ภัทรนาวิก

หม่อมครูต่วน  (ศุภลักษณ์)  ภัทรนาวิก
นางศุภลักษณ์  ภัทรนาวิก  ชื่อเดิม  ต่วน  เกิดวันพฤหัสบดีขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๘  ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๕ กรกฏาคม พ.ศ.  ๒๔๖๒ ณ บ้านเหนือ วัดทองธรรมชาติ อำเภอคลองสาน ฝั่งธนบุรี บิดาชื่อนายกลั่น ภัทรนาวิก ซึ่งเป็นบุตรพระยา ภักดีภัทรากร (จ๋อง ภัทรนาวิก) มารดาชื่อลำไย  เป็นชาวพระนครศรีอยุธยา
นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ๕ คน หม่อมครูต่วนมีความสนใจในด้านละครและเข้ารับการฝึกหัดตั้งแต่อายุ  ๙ ขวบ ฝึกหัดเป็นตัวนางโดยรับการฝึกหัดจากหม่อมวัน มารดาของพระยาวชิตชลธาร (ม.ล. เวศน์  กุญชร) หม่อมครูต่วน มีความพยายามในการฝึกฝนจนสามารถแสดงเป็นตัวนางได้อย่างดี และเป็นที่เมตตาปราณีของท่านเจ้าพระยาเทเวศน์ วงศ์วิวัฒน์มาก ต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ ปี ก็ได้เป็นหม่อมของท่านเจ้าพระยาเทเวศน์ วงศ์วิวัฒน์
หม่อมต่วนรับบทบาทเป็นตัวนางเอกหลายเรื่อง  เคยแสดงถวายหน้าพระที่นั่ง  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้รับการฝึกหัดให้แสดงละครดึกดำบรรพ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์  หม่อมต่วนมีความเชี่ยวชาญในบทบาทตัวนางเป็นอย่างดีเยี่ยมเคยแสดงมาแล้วแทบทุบทบาท ในสมัยรัชกาลที่ ๗  ได้มีการจัดตั้งกองมหรสพ ก็ได้รับมอบหน้าที่เป็นผู้ฝึกหัดละครดึกดำบรรพ์ตัวนาง  เมื่อมีการยุบกระทรวงวัง ก็ออกจากราชการ  แต่เมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ (วิทยาลัยนาฏศิลป์ในปัจจุบัน)  กรมศิลปากร  หม่อมต่วนก็ได้ถูกเชิญให้เข้ามารับราชการครู  ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๘  ได้รับความเคารพรักจากบรรดาศิษย์มากมาย  จนได้รับการยกย่องด้วยความนับถือว่า  “หม่อมครูต่วน”
ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ หม่อมครูต่วนได้เปลี่ยนชื่อเป็น  “ศุภลักษณ์”  เนื่องจากเคยรับบทเป็นนางศุภลักษณ์ในละครเรื่องอุณรุท  หม่อมครูต่วนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่  ๑๙  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙  สิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี ๔ เดือน ๑๔ วัน

มั่นใจในหน้าสด



ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบแต่งหน้า

แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเราเป็นชาวนาฏศิลป

จึงจำเป็นต้องแต่งหน้าแต่งตาเวลาออกงานการแสดง

และปัญหาที่พบบ่อลนั่นคือ  (ปัญหาผิวหน้า)


แลัวันนี้จะมีเคล็ดลับที่ไม่ลับ (สูตรหน้าใส)สไตร์ ฝน กีรติ  มาดูกันคะ  ไม่ยากเลย





การดูแลผิวสำหรับคนที่ต้องแต่งหน้าเป็นประจำ
เมื่อเมคอัพทำร้ายผิว ในผู้ที่เป็นนางแบบ, นักแสดง และพวกที่ชื่นชอบการแต่งหน้า เคยเห็นพวกนักแสดงสาวๆในจอทีวี แล้วสังเกตมั้ยว่าผิวพวกเธอมีบางอย่างแปลกๆ มองไกลๆ จะเห็นว่าพวกเค้ามีผิวที่เพอร์เฟคมาก แต่เมื่อมองใกล้ๆ แล้วจะเห็นว่าผิวเป็นรูๆ เหมือนรูขุมขนกว้าง, มีไฝ, จุดด่างดำ, สุขภาพผิวไม่ดี เป็นเพราะอะไร???
หลายๆ คนนั้นเริ่มแรกก่อนทำงานด้านการแสดงก็มีผิวที่ดี ดูดี นักแสดงบางคนเริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นนางแบบ นายแบบ ก่อนที่จะเริ่มงานแสดง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จอันเนื่องมาจากสภาพผิวที่ดูมีสุขภาพดีและเปล่งประกาย แต่แล้วสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไประหว่างการทำงานด้านนี้
ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
งานแสดงและนายแบบ นางแบบนั้นเป็นงานที่มีความพิเศษ นักแสดงและนายแบบ นางแบบต่างก็ถูกคนเป็นล้านๆ จับตามอง ทั้งในจอและบนแมกกาซีน ไม่มีอาชีพไหนที่ต้องใช้รูปร่าง หน้าตาเท่างานแสดง และงานถ่ายแบบอีกแล้ว น่าเศร้าที่รูปแบบการดำเนินชีวิตของนักแสดงและนายแบบ นางแบบนั้นช่างเป็นการทำร้ายผิวอย่างแรง ทั้งการแต่งหน้า และการล้างเมคอัพ ซึ่งเป็นการทำร้ายผิวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแสดงผู้หญิงและนางแบบ
ผลิตภัณฑ์ที่เป็นปัจจัยในการทำลายผิวของนักแสดงและนายแบบ นางแบบนั้น ส่วนใหญ่เป็นการแต่งหน้า และการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเมคอัพ ทั้งการแต่งหน้าและการล้างเมคอัพนั้น (ซึ่งเป็นการกำจัดกรดที่ปกป้องผิวหน้าออกไป) จะทำอันตรายต่อผิวหนัง การแต่งหน้านั้นสามารถทำได้ง่ายๆและรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นสภาวะใดก็ตาม การแต่งหน้าบ่อยๆ และการล้างเมคอัพบ่อยๆ ก็มีผลทำให้ผิวไวต่อความรู้สึก แล้วผิวก็จะถูกทำลายได้ง่าย, มีไฝ ฝ้า, จุดด่างดำจากการถูกแสงแดด เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นสำหรับนักแสดง นายแบบ นางแบบและผู้ที่แต่งหน้าอยู่เป็นประจำที่ต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องผิวให้เหมาะสม
เทคนิคการดูแลผิวสำหรับนักแสดง นายแบบ นางแบบและผู้ที่แต่งหน้าอยู่เป็นประจำ
วิธีการง่ายๆ สำหรับนักแสดง นายแบบ นางแบบและผู้ที่จำเป็นต้องแต่งหน้า
คำแนะนำ
  1. ก่อนที่จะแต่งหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ SRCP (Skin Remodeling Copper Peptide) ที่เป็นครีม หรือเซรั่ม แทนการใช้เบส เพื่อปกป้องผิว ผลิตภัณฑ์ SRCP (Skin Remodeling Copper Peptide) นั้นเป็นสูตรที่เหมาะกับการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
  2. ผลิตภัณฑ์ Hydroxy acid นั้นให้ผลดีในการกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว และโปรตีนของผิวที่ถูกทำลาย
  3. ในตอนเช้า ผลัดเซลล์ผิวด้วย BHA โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ Exfol cream หรือ Exfol serum ซึ่งมี่สวนประกอบของ Salicylic acid 2% โดยทาเพียงบางๆ ที่ผิวหน้า
  4. ในตอนกลางคืน ทาผิวบริเวณที่ถูกทำลายด้วย TriReduction Cream แล้วตามด้วย Super CP serum หรือ Super Cop Cream ปกติแล้วผลิตภัณฑ์ที่เป็นเซรั่มจะเหมาะกับผู้ที่มีผิวผสม หรือผิวมัน ส่วนครีมจะเหมาะกับผู้ที่มีผิวค่อนข้างแห้ง
ปกป้องผิวหลังการแต่งหน้า
    • ใช้น้ำมันที่มีคุณสมบัติในการทำให้ผิวมีสุขภาพดี มาล้างเมคอัพจะดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เคมีในการล้างเมคอัพ เพราะจะทำอันตรายต่อผิวได้ในระยะยาว เช่นทำให้ผิวแห้ง แนะนำเป็นน้ำมันอีมู หรือ Squalane
    • การล้างเมคอัพ ขั้นแรกให้ทาน้ำมันดังกล่าวบางๆ ให้ทั่วใบหน้า แล้วถูเบาๆ เพื่อกำจัดเมคอัพออก จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำมันส่วนเกินที่ตกค้างอยู่นั้นจะช่วยบำรุงผิวตามธรรมชาติ
    • เมื่อล้างเมคอัพออกแล้ว ตามด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดอ่อนโยน
    • จากนั้นทา CP serum แต่เพียงบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า เพื่อซ่อมแซมเกราะที่ปกป้องผิว และต้านอนุมูลอิสระ ในการศึกษาทางการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า ผลิตภัณฑ์ SRCP นั้นมีความสามารถในการกระตุ้นการซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวภายใน 24-48 ชั่วโมง
    • สุดท้าย ทาน้ำมันอีมูบางๆ ให้ทั่ว เพื่อบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง


วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลตัวเองกันหน่อยนะคะ

อากาศเปลี่ยนแปลง ร้อนชื้น ฝนตกตลอดเวลา 
การดูแลป้องกันสุขภาพอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ ที่มักมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำ โอกาสเกิดโรคสูง
โดยเฉพาะ 3 โรค ดังนี้


1. โรคไข้เลือดออก

สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะอยู่ในกลุ่มอายุ 0-14 ปี อัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี พบเพศหญิงต่อเพศชายใกล้เคียงกัน พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี พบมากในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม ... คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดที่นี่




2. โรคมือ เท้า ปาก
ส่วนมากมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Entero Virus (EV) หรือ Coxackie ซึ่งแพร่เชื้อออกมาในน้ำลาย และอุจจาระผู้ป่วย การรับเชื้อสามารถรับผ่านทางปาก จากการปนเปื้อนเชื้อที่มือ ของเล่น น้ำ อาหาร ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ 2-3 วัน ... คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดที่นี่



3. ไข้หวัดใหญ่เรื่องใหญ่... เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ควรระวัง
ความน่ากลัวของไข้หวัดใหญ่ คือ โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ที่พบบ่อยคือ ปอดบวม หรืออาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ หรือทำให้โรคประจำตัวที่เป็นอยู่มีอาการรุนแรงขึ้น ... คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดที่นี่




สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โทร. 02-3789000

อนุรักษ์วัฒนธรรม ชูศิลปโขนหญิง




วิทยาลัยนาฏศิลปเป็นสถานศึกษาในสังกัดสถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เดิมวิทยาลัยนาฎศิลปตั้งอยู่ที่ ถนนราชินี เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ใกล้โรงละครแห่งชาติ แต่ในปัจจุบันได้ย้ายมาตั้งที่ ถนนศาสายา-นครชัยศรี ต.ศาสายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม        นางนพวรรณ รุจิภักดิ์ เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป เปิดเผยว่า การเรียนการสอนของวิทยาลัยแบ่งออกเป็น 2 สายใหญ่ ๆ คือ 1.วิชาสามัญ วิชาสามัญทุกระดับ จัดตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พลานามัย และศิลปศึกษา และ 2.วิชาศิลปะ วิชาศิลปะแต่ละสาขาเป็นหลักสูตรที่กรมศิลปากรจัดทำเอง โดยได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ นักเรียนในระดับนาฏศิลป์ชั้นต้นจะต้องเลือกเรียนสาขาใดสาขาหนึ่ง เมื่อเรียนชั้นกลางนักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาศิลปะสาขาอื่นเป็นวิชารองได้อีก
       สำหรับการเรียนการสอนโขนหญิงนั้น คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยได้ยินคำว่าโขนหญิงกันสักเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วโขนหญิงมีการแสดงมานานแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้แสดงอยู่ในส่วนของละครใน ซึ่งผู้ที่เป็นตัวแสดงในละครในล้วนแล้วเป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่สาเหตุที่ทำให้การแสดงโขนหญิงหายไปก็อาจจะเป็นเพราะสมัยนิยมในปัจจุบัน ตรงนี้ทางวิทยาลัยจึงอยากรื้อฟื้นการแสดงโขนหญิงให้คนสมัยใหม่ได้รู้ทั่วกันว่า การแสดงโขนไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นที่แสดงได้
       ด้าน อาจารย์จุลชาติ อรัญยะนาค ครูชำนาญการพิเศษ เผยว่า ไม่ได้เป็นวิชาเรียนหลัก แต่เป็นวิชาที่อยู่ในส่วนของวิชาเลือก และนักเรียนที่มาจะมาเรียนโขนหญิงจะต้องเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลาย เป็นนักเรียนที่เรียนภาควิชาไหนก็ได้ รับตามความสมัครใจ แต่ถ้าจะให้ดี คนที่มาเรียนจะต้องมีพื้นฐานในส่วนของละครรำน่าจะดีกว่า เพราะพื้นฐานการเรียนโขนจะคล้าย ๆ กับการเรียนละครรำ
 สำหรับน้อง ๆ ที่เรียนโขนหญิงได้พูดถึงความรู้สึกที่ได้เรียนวิชานี้ว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาเรียนวิชาโขนหญิง เพราะเมื่อก่อนคิดว่าการเรียนโขนเรียนได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่พอพวกเราได้เข้ามาเรียนก็รู้สึกว่าผู้หญิงอย่างเราก็สามารถเรียนโขนได้ด้วยเหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

เต็มที่กับทุกงาน ก็อย่าลืมใส่ใจดูแลตัวเองกันนะคะ

                       

      ปัญหาที่ดิฉันสังเกตุเห็นบอยเวลาต่อท่ารำ  ครูนาฎศิลปที่ค่อนข้างจะมีอายุพูดบ่อยๆคือ  " เทอนั่งนะครูเจ็บเข่าละ เดี๊ยวลุกขึ้นไม่ไหว"  โอ้คุนพระ  ครูยังอายุไม่เกิน 40 เลยนะคะ นี้หากเราอายุมากขึ้น คงไม่วายเปฯแบบนี้แน่  

งั้นนอกจากจากจะใช้ร่างกายอย่างถนอมกันแล้ว เราก็มาหาอะไรบำรุงกันซักนิดดีกว่านะคะ  เริ่มจากหาความรู้เรื่องข้อและกะดูกกันก่อนเลย



“กระดูก”ดี ด้วยอาหาร
Article: กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร

     โรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก ไม่ว่าจะเป็นกระดูกพรุน เกาต์ รูมาตอยด์ ข้อกระดูกเสื่อม หรือข้อกระดูกอักเสบ จะเกิดขึ้นตอนอายุมาก จึงถูกมองว่าเป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุ แต่รู้หรือไม่ว่า เราสามารถชะลอความเสื่อมของกระดูก ซึ่งเป็น “โครงสร้าง” ของร่างกายได้ ด้วยอาหารที่มีประโยชน์ไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม 

     ถ้าดูเผินๆ เราอาจจะเข้าใจว่า กระดูกไม่ต้องทำหน้าที่อะไรมากนัก ทั้งๆ ที่กระดูกมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกายหลายอย่าง ได้แก่
     - เป็นเกราะป้องกันอวัยวะภายใน
     - ทำให้แขน ขา เคลื่อนไหวและพับได้
     - ทำให้ลำตัวตั้งตรง
     - เป็นที่เก็บสะสมแคลเซียมและแมกนีเซียม
     - เป็นแหล่งผลิตเซลล์เม็ดเลือด และสเต็มเซลล์

     โดยกระดูกจะมีการสร้างเนื้อกระดูกใหม่ตลอดเวลา และดึงแคลเซียมมาเก็บสะสมไว้ แต่พออายุ 35 ปีขึ้นไป
กระดูกจะหยุดเจริญเติบโต และเริ่มมีการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคกระดูกพรุนได้ โดยไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น แต่อาจจะโผล่มาตอนกระดูกหักไปแล้ว กระดูกที่หักได้ง่ายจากโรคกระดูกพรุน คือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ
กลุ่มเสี่ยงและปัจจัยเร่ง
     กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน คือ สตรีวัยหมดประจำเดือน หรือมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งทำหน้าที่ช่วยรักษามวลกระดูก ส่วนกระดูกพรุนในผู้ชายสูงอายุจะเกิดขึ้นตอนอายุประมาณ 75 ปีขึ้นไป

สำหรับปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูก คือ
     - เคยกระดูกหักในวัยผู้ใหญ่
     - สูบบุหรี่
     - มีน้ำหนักตัวน้อย หรือในทางตรงกันข้ามคือ อ้วน
     - รับประทานยาบางตัวที่เร่งให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูก เช่น สเตียรอยด์ เฮปาริน เป็นต้น
     - เป็นโรคลำไส้ โรคตับ หรือโรคไตวาย
     - ดื่มสุราหนัก
     - บริโภคอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีไม่เพียงพอ
     - ไม่ออกกำลังกายใดๆ
     - ออกกำลังกายหนักหรือหักโหมเกินไป เช่น ผู้ที่วิ่งมาราธอนบ่อยๆ หรือนักกีฬาที่มีการฝึกซ้อมหนัก ซึ่งจะทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
     - ผู้ที่อดอาหารเพื่อลดน้ำหนักบ่อยๆ หรือเป็นโรคอะนอเร็กเซีย บูลิเมีย ซึ่งทำให้ขาดสารอาหาร และทำให้ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงด้วย
อาหารที่เป็นมิตรกับกระดูก
สำหรับอาหารที่จะช่วยชะลอการสูญเสียมวลกระดูก ได้แก่
     - อาหารที่มีแคลเซียมสูง อาทิ นมพร่องไขมัน โยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมถั่วเหลืองชนิดเสริมแคลเซียม เนยแข็งหรือชีส ปลาเล็กปลาน้อย ปลาซาร์ดีน งาดำ ผักใบเขียว
     - อาหารที่มีวิตามินดีสูง อาทิ ปลา ไข่แดง เห็ด
     - อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง อย่างผักใบเขียว ถั่วธัญพืชต่างๆ
     - เต้าหู้ ถั่วเหลือง ที่มีทั้งโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งจะทำงานร่วมกันและลดการสลายของกระดูก
อาหารที่ไม่เป็นมิตรกับกระดูก
สำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นตัวเร่งการสูญเสียแคลเซียม ได้แก่
     - น้ำอัดลมสีดำ
     - อาหารเค็มจัด
     - การกินเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้วิธีลดน้ำหนักโดยเน้นกินโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ
     - เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน โดยเฉพาะกาแฟ
การลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ นอกจากจะช่วยรักษามวลกระดูกแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพด้านอื่นๆ ดีขึ้นด้วย
การดูแลข้อต่อ
     ข้อต่อ คือ ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สามารถพับได้ ทั้งหัวเข่า ข้อศอก นิ้ว หัวไหล่ สะโพก โดยบริเวณข้อต่อจะมีกระดูกชิ้นเล็กๆ เส้นเอ็นและน้ำหล่อเลี้ยงในบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกใหญ่ ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงจะลดน้อยลง ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อเกิดการติดขัดไม่ราบรื่นเหมือนเช่นเคย บางรายอาจจะรู้สึกเจ็บเหมือนกระดูก 2 ชิ้นมาชนกัน ซึ่งหากทิ้งเอาไว้จะทำให้เกิดการอักเสบได้ โดยข้อต่อที่ถูกใช้งานและเป็นที่ที่เกิดการบาดเจ็บมากที่สุดคือหัวเข่า เพราะต้องแบกรับน้ำหนักร่างกายทั้งตัว ยิ่งถ้ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตอนสูงอายุ หัวเข่าที่ถูกใช้งานมานานก็จะต้องทำงานหนักมากขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้นจึงควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่พอดี หากมีน้ำหนักเกินก็ควรลดน้ำหนักลงมา เพื่อลดการเสื่อมของข้อเข่า
นอกจากนี้ เรายังช่วยชะลอความเสื่อมของหัวเข่าและข้อต่ออื่นๆ ได้ด้วยอาหารเหล่านี้

      - อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างเช่น ปลาทะเล ถั่ววอลนัท น้ำมันถั่วเหลือง สาหร่ายทะเล เมล็ดแฟล็กซ์ อะโวคาโด และน้ำมันที่ให้กรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ อย่างน้ำมันมะกอก ซึ่งอาหารที่มีไขมันสูงเหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนน้ำมันหล่อลื่นของข้อต่อ โดยกรดไขมันโอเมก้า 3 ยังทำหน้าที่ลดการอักเสบภายในร่างกายได้ด้วย จึงขอแนะนำให้บริโภคปลาที่ไม่ทอดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้าไม่ชอบรับประทานปลา ควรเสริมด้วยน้ำมันปลา ประมาณ 2000 มิลลิกรัมต่อวัน

      - อาหารที่มีวิตามินซีสูงซึ่งอยู่ในผักและผลไม้สดหลายชนิด อย่างเช่นฝรั่ง เพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยในกระบวนการซ่อมแซม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงยังมีงานวิจัยใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า วิตามินซีมีส่วนช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกและการเสื่อมของกระดูกข้อต่อต่างๆ ที่มีสาเหตุจากอายุที่มากขึ้นได้ด้วย จึงขอแนะนำให้รับวิตามินซีวันละประมาณ 1000 มิลลิกรัม ทั้งจากอาหารและอาหารเสริม ซึ่งมีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรเสริมวิตามินซีมากกว่าวันละ 2000 มิลลิกรัม เพราะอาจจะทำให้เกิดนิ่ว นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยบางชิ้นที่บ่งชี้ว่า เมื่องดการกินผักบางชนิดอาจจะช่วยลดอาการปวดข้อลงได้ ซึ่งผักเหล่านี้ ได้แก่ มันฝรั่ง พริกทุกชนิดทั้งหวานและเผ็ด มะเขือเทศ และมะเขือ
การดูแลโรคเกาต์
     โรคเกาต์ เป็นโรคหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมาก เกิดขึ้นจากมีกรดยูริคสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณข้อต่อต่างๆ งานวิจัยใหม่ๆ พบว่า วิธีการรักษาโรคเกาต์ที่ดีที่สุดคือ การลดน้ำหนักโดยลดการบริโภคอาหารประเภทแป้งขัดขาวและน้ำตาลให้มากที่สุด เลือกรับประทานข้าวกล้องและธัญพืชต่างๆ แทน ซึ่งจะช่วยได้มากกว่าการลดการบริโภคสัตว์ปีกอย่างที่เคยแนะนำกันในอดีต
สำหรับอาหารที่มีส่วนช่วยโรคเกาต์ ได้แก่
      - นม และผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย
      - กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งพบในปลา ถั่ววอลนัท เมล็ดแฟล็กซ์
      - กระเทียม
      - เต้าหู้ เนื่องจากสารพิวรีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มกรดยูริคอันนำไปสู่โรคเกาต์ จะถูกสลายไปในกระบวนการผลิตเต้าหู้
ส่วนอาหารที่เพิ่มกรดยูริคในร่างกาย ได้แก่
     - เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ใช่แค่สัตว์ปีกเท่านั้น แต่รวมถึงเนื้อแดงด้วย
     - อาหารทะเลยกเว้นปลา
     - ยอดผัก เช่น กระถิน
     - เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทั้งหลาย เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน
     - เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
      เพียงแค่หมั่นดูแลร่างกายด้วยอาหารการกินที่เหมาะสม รักษาน้ำหนักตัวให้พอดี และออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ กระดูกก็จะแข็งแรงและอยู่กับเราไปได้นาน ลงมือทำกันเสียวันนี้เลยนะคะ